รูปของฉัน

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

อาหารแบบชาวอีสานโดยแท้


อาหารปรุงอาหารพื้นเมืองอีสาน
ลาบ  เป็นอาหารประเภทยำที่มีเนื้อมาสับละเอียดหรือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆบางๆปรุงรสด้วยน้ำปลาร้า พริก ข้าวคั่ว ต้นหอม  ผักชี รับประทานกับ  ผักพื้นเมือง นิยมใช้กับเนื้อปลาหมูวัวควายและไก่
ก้อย  เป็นอาหารประเภทยำที่จะนำเนื้อย่างมาหั่นเป็นชิ้นๆผสมกับผักพื้นเมืองนิยมใช้กับเนื้อปลาหมูวัวควายและไก่  ทานกับผักสดนานาชนิด ส่า  เป็นอาหารประเภทยำ ที่นำหนังหมู เนื้อหมูย่างสับมาผสมกับหัวปลี วุ้นเส้น แซ หรือ แซ่ เป็นอาหารประเภทยำที่นำเนื้อสดๆมาปรุงนิยมใช้กับเนื้อวัวและหมู  คล้ายๆลาบแต่มักใส่เลือดสดๆด้วย  กินกับผักสดตามชอบ  คนโบราณนิยมกินเพราะเชื่อว่าเป็นยาชูกำลัง  ปัจจุบันได้รับความนิยมเฉพาะในชนบทที่ห่างไกลอ่อม  เป็นอาหารประเภทแกงแต่มีน้ำน้อยมีผัก พื้นเมืองหลายชนิดนิยมใช้กับเนื้อ ไก่และปลาหรือเนื้อกบเนื้อเขียดหรือเนื้อสัตว์อื่นๆแต่เน้นที่ปริมาณผัก
อ๋อ  ลักษณะคล้ายอ่อมแต่ไม่ใส่ผัก(ใส่เพียงต้นหอม ใบมะกรูด ตะไคร้ ใบแมงลัก) นิยมใช้ปลาตัวเล็ก  กุ้ง หรือไข่มดแดงปรุง ใส่น้ำพอให้อาหารสุกหมก เป็นอาหารประเภทหนึ่งที่ใช้ใบตองห่อนิยม ใช้กับเนื้อปลา ไก่ แมลง  กบ เขียด  ผักและหน่อไม้  หมกหรือห่อหมกของภาคอีสานจะไม่ใส่กะทิอู๋  คล้ายหมกแต่ไม่ใช้ใบตอง นิยมใช้กับเนื้อปลาโดยเฉพาะปลาตัวเล็กๆ  กับพวกลูกอ๊อดกบหม่ำ  คือ ไส้กรอกเนื้อวัวผสมตับ ตะไคร้และเครื่องเทศอื่นๆ
หม่ำขึ้ปลา มีลักษณะคล้ายปลาร้าชนิดหนึ่งรสชาติค่อนข้างเปรี้ยว หมักกับข้าวเหนียว
แจ่ว  คือ น้ำพริกของชาวอีสานนิยมใส่ปลาร้าสับหรือน้ำปลาร้า  บางครั้งใส่มะกอกพื้นบ้านก็เป็นแจ่วมะกอก รับประทานกับผักสด  ลวก หรือนึ่ง เป็นอาหารที่นิยมรับประทานกันทุกบ้านในภาคอีสาน  เพราะมีขั้นตอนการทำที่ไม่ยุ่งยาก 
ตำซั่ว  เป็นอาหารประเภทส้มตำชนิดหนึ่ง  แต่ใส่ส่วนประกอบมากกว่า  คือ ใส่ขนมจีน ผักดอง ผัก(เหมือนที่ใส่ขนมจีน) และมะเขือลาย  หรือผักอื่นๆตามต้องการลงไปในตำมะละกอด้วย ผัก

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

ข้าวดีสําหรับชาวไร่ ชาวนา

นโยบายประกันรายได้เกษตรกร

       เป็นมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าวเปลือก    ที่ไม่บิดเบือนกลไกตลาดและช่วยลดภาระงบประมาณของรัฐบาล  โดยในระยะแรกจะเป็นทางเลือกใหม่ให้กับเกษตรกรนอกจากการรับจำนำและในระยะยาวจะเป็นระบบแทนที่การรับจำนำ

วัตถุประสงค์


       1. เพื่อช่วยเหลือให้เกษตรกรได้รับราคามันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าวเปลือกที่สูงขึ้น

       2. เพื่อเป็นการใช้กลไกตลาดในการสร้างเสถียรภาพราคาในระยะยาวและมีความยั่งยืน

       3. เพื่อลดภาระงบประมาณค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการช่วยเหลือเกษตรกร

การกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิง

คณะอนุกรรมการกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงพืชเศรษฐกิจทั้ง 3 ชนิด ทำหน้าที่กำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงเพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาจ่ายอัตราชดเชยรายได้ให้เกษตรกร แล้วนำเสนอประธานกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง ประธานกรรมการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และประธาน กขช. พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนประกาศเกณฑ์กลางอ้างอิง โดยประกาศทุกวันที่ 1 และ วันที่ 16 ของเดือน

ระยะเวลาดำเนินการ

       1.  การขึ้นทะเบียนผู้ปลูกพืชเศรษฐกิจ  โดยกรมส่งเสริมการเกษตร  กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และการจัดประชุมประชาคม  เพื่อรับรองการผลิตของเกษตรกร  โดยคณะกรรมการตรวจสอบระดับตำบล  เดือน กรกฎาคม – กันยายน  2552  ข้าวนาปีขยายเวลาถึง  เดือน  ตุลาคม  2552

       2.  การทำสัญญาประกันราคา  ตั้งแต่เดือนสิงหาคม  -  พฤศจิกายน  2552  โดย  ธ.ก.ส.  ทำสัญญาประกันราคากับเกษตรกรที่สมัครเข้าร่วมโครงการ

เกษตรกรผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ


       1. เป็นเกษตรกรผู้ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2552/53 ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2552/53 หรือข้าวเปลือก ปี 2552/53 กับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (มีรายชื่อในระบบโปรแกรมของ ธ.ก.ส.)

       2. เป็นเกษตรกรที่มีหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนการปลูกมันสำปะหลัง ปี 2552/53 ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2552/53 หรือข้าวเปลือก ปี 2552/53 ที่ออกโดยกรมส่งเสริมการเกษตร

       3. เข้าร่วมโครงการได้ครัวเรือนละ 1 รายเว้นแต่แยกการทำกินสามารถเข้าร่วมได้มากกว่า 1 ราย

       4. เกษตรกรทั่วไปขอเข้าโครงการได้ตามภูมิลำเนา (สำเนาทะเบียนบ้าน) ณ ธ.ก.ส. สาขาที่ตั้งภูมิลำเนา

       5. ลูกค้า ธ.ก.ส. ขอเข้าโครงการได้ ณ ธ.ก.ส. สาขาที่ลูกค้าสังกัด



ผลดีของการใช้นโยบายการประกันรายได้เกษตรกร


       1. เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับส่วนต่างระหว่างเกณฑ์กลางอ้างอิงกับราคาประกันเป็นเงินโดยตรงจากรัฐ กรณีราคาตลาดต่ำกว่าราคาประกัน ช่วยให้เกษตรกรไม่ขาดทุนจากการขายผลผลิต

       2. การจดทะเบียนเกษตรกรและพื้นที่เพาะปลูกเพื่อทำประกันราคาจะช่วยลดปัญหาการสวมสิทธิ์จากการผลผลิตของประเทศเพื่อนบ้าน      

        3. ไม่เป็นภาระกับการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลจะจ่ายส่วนต่างระหว่าง ราคาตลาดอ้างอิงกับราคาประกันให้กับเกษตรกรเท่านั้น รัฐบาลไม่ต้องรับภาระเกี่ยวกับการแปรสภาพและการจัดเก็บผลผลิตในสต็อกของรัฐบาล

       4. ลดปัญหาการทุจริต และการแสวงหาประโยชน์จากการรับจำนำของผู้ที่เกี่ยวข้องในขั้นตอนต่างๆ คงเหลือเพียงระดับเกษตรกร และเจ้าหน้าที่จดทะเบียน

       5. กลไกการค้าผลิตผลเข้าสู้ภาวะปกติ กลับมามีการแข่งขัน รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการค้า

ผลกระทบที่เกิดจากการประกันราคา


       1. มีโอกาสเกิดการทุจริตในขั้นตอนการขึ้นทะเบียนเกษตรกร การรับรองพื้นที่ และปริมาณผลผลิต

       2. หากกำหนดราคาประกันสูง จะทำให้เกิดแรงจูงใจแก่เกษตรกรเพิ่มเนื้อที่การผลิต

       3. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเพิ่มบุคลากรจำนวนมากมาสนับสนุนการดำเนินงานเพราะคาดว่าจะมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการเกือบทั้งหมด

       4. หากราคาผลผลิตตกต่ำมากจะเป็นภาระของรัฐบาลในการจัดหาเงินทุนมาชดเชยแก่เกษตรกร โดยเฉพาะการร่วมมือกันกดดันราคาของผู้ค้าผลิตผลทางการเกษตร

       5. หากเกษตรกรขายผลผลิตได้ต่ำกว่าราคาตลาดอ้างอิงมาก อาจชุมนุมเรียกร้องกดดันให้รัฐบาลช่วยเหลือ

       6. ผู้ที่เคยได้รับประโยชน์จากการเข้าร่วมโครงการรับจำนำ ไม่สนับสนุนการดำเนินงาน



วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

การเล่นฮูล่าฮูป

ฮูล่าฮูปกีฬายอดฮิตของคนทุกวัย

   ฮูล่า ฮูปมีประวัติมายาวนานตั้งแต่สมัยกรีกแล้ว คนกรีกเล่นฮูล่าฮูปเพื่อออกกำลังกาย ในสมัยนั้นอุปกรณ์ทำมาจากไม้ ไม้ไผ่ หญ้า แต่ในปัจจุบันมักใช้วัสดุเป็นพลาสติก โดยสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์กีฬาทั่วไป ช่วงนี้เด็ก ๆ กำลังปิดเทอมใหญ่อยู่ที่บ้านก็สามารถหาเล่นได้แถมยังใช้พื้นที่น้อยอีกด้วย ในช่วงเวลาต่อมา ประเทศอังกฤษสมัยทศวรรษที่ 14 ได้ดัดแปลงนำเอาฮูล่าฮูปมาใช้เป็นของเล่นสำหรับเด็ก และในสมัยทศวรรษที่ 19 ทหารของประเทศอังกฤษได้นำเอาฮูล่าฮูปมาใช้ในการออกกำลังกายโดยการเต้นบนหมู่ เกาะฮาวาย
    จากการศึกษาของ American Council on exercise พบว่าการเล่นฮูล่าฮูปนาน 30 นาที สามารถเผาผลาญพลังงานได้ถึง 200 แคลอรี โดยฮูล่าฮูปได้ถูกจัดเป็นรูปแบบของการออกกำลังกายประเภทแอโรบิค ซึ่งสามารถเพิ่มสมรรถภาพด้านต่าง ๆ ของร่างกายให้สูงขึ้นได้ดี และเป็นรูปแบบของกิจกรรมที่ทุกคนสามารถเล่นได้ โดยมีความหนักที่ต่ำ
   ประโยชน์ของการเล่นฮูล่าฮูป คือ ช่วยเผาผลาญไขมันได้ดี จากการที่กล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ทำงาน ซึ่งทำให้มีการไหลเวียนเลือดเพิ่มมากขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ปริมาณของพลังงานที่ร่างกายนำไปใช้นั้นมาจากการเผาผลาญไขมันไปเป็น พลังงาน ทำให้ร่างกายมีปริมาณไขมันใต้ชั้นผิวหนังลดน้อยลง ส่งผลให้ร่างกายมีน้ำหนักลดลง โดยการเล่นฮูล่าฮูป 30 นาที สามารถเผาผลาญพลังงานได้มากถึง 200 แคลอรี
   นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่ม ความกระชับและแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้อง และหลังส่วนล่าง ถือว่าเป็นกล้ามเนื้อแกนกลางของร่างกาย (Core muscle) ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก รวมทั้งส่งผลให้กล้ามเนื้อสะโพก เอว และก้น มีความกระชับมากขึ้นเช่นเดียวกัน เพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อแกนกลางของร่างกาย (Core muscle) ทำให้ระบบประสาทสัมพันธ์ และการทรงตัวพัฒนาดีขึ้น และเพิ่มสมรรถนะทางด้านแอโรบิค โดยทำให้หัวใจมีความแข็งแรง อดทนเพิ่มมากขึ้น และส่งผลให้ความดันลดต่ำลง
  ใครที่สนใจจะเล่นฮูล่า ฮูปควรมีการยืดเหยียดกล้ามเนื้อบริเวณ เอว หลัง แขน และขา ก่อนและหลังเล่นทุกครั้ง และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มโปรแกรมออกกำลังกายทุกครั้ง สำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง หรือกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าว ควรหลีกเลี่ยงการเล่นฮูล่าฮูป นอกจากนี้ ควรเริ่มเล่นในปริมาณที่น้อยก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาให้มากขึ้นในภายหลัง และไม่ควรหักโหมในการเล่นเพราะอาจจะเกิดปัญหาการบาดเจ็บได้ง่าย


   หากนำเอาของเล่นสมัยเด็กมาเติมสีสัน และความสนุกสนานให้แก่การออกกำลังของคุณ แถมยังช่วยลดพุงได้ด้วยนะ

          อุปกรณ์ : เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรเลือกใช้ฮูลาฮูปที่หนักราว 3 ปอนด์ คุณอาจใช้ฮูลาฮูปแบบธรรมดาทั่วไปก็ได้ แต่อาจจะไม่เห็นผลในแง่การออกกำลังอย่างชัดเจน เท่ากับการใช้ห่วงที่หนักสักหน่อย

          ระยะเวลา : 30-40 นาที

ขั้นตอน

          1.ย่ำอยู่กับที่ 3 นาทีเพื่อวอร์มอัพ

          2.คล้องห่วงเข้ากับสะโพก และหมุนไปมา 3-5 นาที

          3.ยืนแยกขาให้กว้างเท่าช่วงไหล่ ปลายเท้าชี้ออกด้านซ้ายเล็กน้อย จากนั้นวางห่วงบนพื้นข้างเท้าซ้าย จับส่วนบนของห่วงด้วยมือซ้าย ยกขาขวาขึ้นด้านข้างให้สูงระดับสะโพกหรือสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะเดียวกันกลิ้งห่วงออกให้ห่างตัว และยกแขนขวาขึ้นเหนือหัว ทำซ้ำ 12 ครั้ง แล้วเปลี่ยนไปอีกข้างหนึ่ง ทำซ้ำ 12 ครั้งเช่นกัน

          4.หมุนห่วงรอบสะโพก 3-5 นาที

          5.ยืนแยกขากว้างเท่าช่วงไหล่ ปลายเท้าชี้ตรงไปข้างหน้า สองมือจับห่วงไว้หน้าตัวแบบเดียวกับจับพวงมาลัยรถ และยกเท้าขวาขึ้นทางด้านข้างสองครั้ง ขณะที่หมุนห่วงไปทางด้านขวา จากนั้น ยกขาซ้ายขึ้นทางด้านข้างสองครั้ง พร้อมกับหมุนห่วงไปทางซ้าย (ทั้งนี้นับเป็นหนึ่งครั้ง) ทำ 2 เซ็ต เซ็ตละ 12 ครั้ง

          6.หมุนห่วงรอบสะโพก 3-5 นาที

          7.ยืนแยกขากว้างเท่าช่วงไหล่ ปลายเท้าชี้ตรงไปข้างหน้า ถือห่วงไว้ในมือแบบเดียวกับจับพวงมาลัยรถ หมุนตัวไปข้างซ้ายเล็กน้อย และเหยียดแขนขวาข้ามไปจับด้านซ้ายของห่วง ขณะที่ทำท่านี้เขย่งปลายเท้าขวาขึ้นด้วย ทำซ้ำอีกด้านหนึ่ง (ทั้งหมดนับเป็นหนึ่งครั้ง) ทำสองเซ็ต เซ็ตละ 12 ครั้ง

          8.หมุนห่วงรอบสะโพก 3-5 นาที

          9.นอนหงายบนพื้น ยกขาทำมุม 90 องศากับพื้น ถือห่วงไว้ในมือซ้าย และวางเท้าทั้งสองข้างแตะเบา ๆ ที่ด้านล่างของห่วง เหยียดแขนขวาขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมกับยกไหล่ขึ้นเหนือพื้นเล็กน้อย (พยายามอย่าให้บั้นเอวยกตามไปด้วย) และลดขาลงจนกระทั่งอยู่เหนือพื้นสองสามนิ้ว กลับสู่ท่าเริ่มต้นนับเป็นหนึ่งครั้ง ทำซ้ำ 2 เซ็ต เซ็ตละ 12 ครั้ง โดยเปลี่ยนมาเป็นข้างขวาในเซ็ตที่สอง

          10.คูลดาวน์ด้วยการย่ำอยู่กับที่ 3 นาที (อย่าลืมยืดเส้นสายปิดท้ายสักหน่อยด้วย)


ฮูล่าฮูป ลดพุง
ฮูล่าฮูป ลดพุง

          การออกกำลังกายด้วย ฮูล่าฮูป จะช่วยให้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ทำงาน การไหลเวียนโลหิตเพิ่มมากขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มสูงขึ้น แถมยังช่วยให้เผาผลาญไขมันไปเป็นพลังงาน จึงช่วยให้ร่างกายมีน้ำหนักลดลง เพียงแค่เล่นฮูล่าฮูป 30 นาที ก็สามารถเผาผลาญพลังงานได้มากถึง 200 แคลอรีเลยเชียวล่ะนอกจากนี้ การเล่นฮูล่าฮูป ยังกระชับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้อง และหลังส่วนล่างด้วย แถมยังส่งผลให้สะโพก เอว และก้น กระชับขึ้นอีกต่างหาก รับรองว่า คุณสาว ๆ ที่หันมาเล่น ฮูล่าฮูป ลดพุง ลดไขมันส่วนเกินกันได้เป็นแถว

อ้างอิง

http://th.88db.com/th/Knowledge/Knowledge_Detail.page/Fitness-Exercise/?kid=7110706
http://health.kapook.com/view11266.html

รัฐธรรมนูญมาตราที่เกี่ยวกับชุมชน

จับประเด็นแนวนโยบายรัฐธรรมนูญ 2550
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดได้ให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชน ในหลายๆ มาตรา ซึ่งได้กล่าวถึง การกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชนท้องถิ่น  ดังเช่น
1) แนวนโยบายด้านศาสนา สังคม การสาธารณสุข การศึกษา และวัฒนธรรม   ใน มาตรา 80  (4) ได้กล่าวถึงการกระจายอำนาจให้กับองค์กรต่างๆไว้ว่า “ส่งเสริมและสนับสนุนการกระจายอำนาจเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน องค์การทางศาสนา และเอกชน จัดและมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนามาตรฐานคุณภาพการศึกษาให้เท่าเทียมและสอดคล้องกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ” 2) แนวนโยบายด้านที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ในมาตรา 85 ที่ว่า รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านที่ดินทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมนั้น นโยบายที่ส่งเสริมให้ประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางการดำเนินการ ได้แก่ ใน (5) ที่ได้บัญญัติไว้ว่า “ส่งเสริม บำรุงรักษา และคุ้มครองคุณภาพสิ่งแวดล้อมตามหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนควบคุมและกำจัดภาวะมลพิษที่มีผลต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ และคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยประชาชน ชุมชนท้องถิ่น และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องมีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางการดำเนินงาน” 
3) แนวนโยบายด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน ในมาตรา 87นั้น รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งเป็นแนวนโยบายที่ได้เน้นด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นหลักทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นด้านต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับ ได้บัญญัติไว้ ดังนี้ คือ(1) ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น(2) ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจทางการเมือง การวางแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจ และสังคม รวมทั้งการจัดทำบริการสาธารณะ(3) ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับ ในรูปแบบองค์กรทางวิชาชีพหรือตามสาขาอาชีพที่หลากหลายหรือรูปแบบอื่น(4) ส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้มแข็งในทางการเมือง และจัดให้มีกฎหมายจัดตั้งกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมืองเพื่อช่วยเหลือการดำเนินกิจกรรมสาธารณะของชุมชน รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินการของกลุ่มประชาชนที่รวมตัวกันในลักษณะเครือข่ายทุกรูปแบบให้สามารถแสดงความคิดเห็นและเสนอความต้องการของชุมชนในพื้นที่(5) ส่งเสริมและให้การศึกษาแก่ประชาชนเกี่ยวกับการพัฒนาการเมืองและการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้สิทธิเลือกตั้งโดยสุจริตและเที่ยงธรรมการมีส่วนร่วมของประชาชนตามมาตรานี้ต้องคำนึงถึงสัดส่วนของหญิงและชายที่ใกล้เคียงกัน
4) การปกครองส่วนท้องถิ่น (มาตรา 281- 290) ซึ่ง พอสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1.) ความเป็นอิสระแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลักแห่งการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น และส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำบริการสาธารณะ และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาในพื้นที่ท้องถิ่นใดมีลักษณะที่จะปกครองตนเองได้ ย่อมมีสิทธิจัดตั้งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (มาตรา 281)
2.) การกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องทำเท่าที่จำเป็นและมีหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ชัดเจนสอดคล้องและเหมาะสมกับรูปแบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และให้มีการกำหนดมาตรฐานกลางเพื่อเป็นแนวทางให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเลือกไปปฏิบัติได้เอง โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและความแตกต่างในระดับของการพัฒนาและประสิทธิภาพในการบริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละรูปแบบโดยไม่กระทบต่อความสามารถในการตัดสินใจดำเนินงานตามความต้องการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งจัดให้มีกลไกการตรวจสอบการดำเนินงานโดยประชาชนเป็นหลัก (มาตรา 282)
3.) การดูแลและจัดทำบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น ความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบาย การบริหาร การจัดบริการสาธารณะ การบริหารงานบุคคล การเงินและการคลัง และมีอำนาจหน้าที่ของตนเองโดยเฉพาะ โดยต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับการพัฒนาของจังหวัดและประเทศเป็นส่วนรวมด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นย่อมได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีความเข้มแข็งในการบริหารงานได้โดยอิสระและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ (มาตรา 283)
4.) คณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นให้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน หรือมาจากความเห็นชอบของสภาท้องถิ่นการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ (มาตรา 284)
5.) การลงคะแนนเสียงถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่น ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดเห็นว่าสมาชิกสภาท้องถิ่น คณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นผู้ใดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นไม่สมควรดำรงตำแหน่งต่อไปให้มีสิทธิลงคะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น คณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นผู้นั้นพ้นจากตำแหน่ง (มาตรา 285)
6.) การเข้าชื่อร้องขอเพื่อให้ อปท. พิจารณาออกข้อบัญญัติท้องถิ่น ซึ่งประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานสภาท้องถิ่นเพื่อให้สภาท้องถิ่นพิจารณาออกข้อบัญญัติท้องถิ่นได้ (มาตรา 286)
7.) การมีส่วนร่วมในการบริหารกิจการของ อปท.  ซึ่งประชาชนในท้องถิ่นมีสิทธิมีส่วนร่วมในการบริหารกิจการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องจัดให้มีวิธีการที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมดังกล่าวได้ด้วยในกรณีที่การกระทำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถิ่นในสาระสำคัญ (มาตรา 287)
8.) องค์กรพิทักษ์ระบบคุณธรรมของข้าราชการส่วนท้องถิ่น ในการบริหารงานบุคคลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องมีองค์กรพิทักษ์คุณธรรมของข้าราชการส่วนท้องถิ่นเพื่อสร้างระบบคุ้มครองคุณธรรมและจริยธรรมในการบริหารงานบุคคล (มาตรา 288)
9) การบำรุงรักษาศิลปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น และวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น รวมทั้งการศึกษาอบรม และการฝึกอาชีพตามความเหมาะสมและความต้องการภายในท้องถิ่นนั้น และเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาอบรมของรัฐ (มาตรา 289)
10) การส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และการเข้าไปมีส่วนร่วมในการบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (มาตรา 290)ตามแนวนโยบายที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ดังที่กล่าวมานั้น เป็นนโยบายซึ่งรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศต้องมีการดำเนินงานตามแนวนโยบายที่ได้บัญญัติไว้ โดยเฉพาะการดำเนินการด้านการกระจายอำนาจสู่ชุมชนท้องถิ่น โดยเน้นหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นหลัก  “ที่สำคัญแนวทางในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น การพัฒนาประเทศต้องพัฒนาคุณภาพของคนในชุมชนให้มีกระบวนการเรียนรู้และเข้าใจอย่างถูกต้อง ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรมของชุมชนเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นการนำทุนทางสังคมและชุมชนเป็นฐานในการพัฒนาและสามารถขับเคลื่อนแนวทางการพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและอย่างยั่งยืน”

อ้างอิง

ผลไม้ท้องถิ่นสรรพคุณดีเยี่ยม

มะขามป้อม

          ชื่อวิทยาศาสตร์ Phyllanthus emblica Linn. วงศ์ EUPHORBIACEAE

          ชื่ออื่น กำทวด (ราชบุรี) สันยาส่า มั่งลู่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) กันโตด (เขมร-จันทบุรี) อิ่ว อำใบเหล็ก (จีน)

          ลักษณะ มะขามป้อมเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดสูงประมาณ 7-15 เมตร ลำต้นมีเปลือกเรียบเกลี้ยง ลอกออกเป็นแผ่นๆ

          ใบ ใบเดี่ยวเรียงชิดติดกันคล้ายขนนก ปลายใบยาวรี สีเขียวแก่ ยาวประมาณ 1 ซม.

          ดอก ออกดอกเป็นช่อหรือเป็นกระจุก ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียแยกกันอยู่บนต้นเดียวกัน หนึ่งดอกมีกลีบดอกประมาณ 5-6 กลีบ มีสีเหลืองอมเขียว

          ผล รูปร่างกลม ผิวเกลี้ยง เนื้อหนา รสฝาด มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. เปลือกแบ่งเป็นสันความยาว 6 ซม. ภายในเนื้อมีเมล็ดสีน้ำตาลอยู่ 6 เมล็ด

          ส่วนที่ใช้ ใบ เปลือกลำต้น ผล ปมที่ก้าน ราก

          สรรพคุณทางยาสมุนไพรใช้ตามตำราโบราณ

          รากแห้งของมะขามป้อม ใช้ต้มดื่มแก้ร้อนใน แก้ท้องเสีย แก้โรคเรื้อน ลดความดันโลหิต

          รากสดมะขามป้อม นำมาพอกแผลเมื่อโดนตะขาบกัด สามารถแก้พิษได้

          เปลือกลำต้นมะขามป้อม ใช้เปลือกแห้งบดเป็นผง โรยบาดแผลหรือนำมาต้มดื่มแก้โรคบิดและฟกซ้ำ

          ปมก้าน ใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากแก้ปวดฟัน โดยนำปมก้าน 10-30 อัน มาต้มกับน้ำแล้วใช้อมหรือดื่มแก้ปวดท้องน้อย กระเพาะอาหาร แก้ปวดเมื่อยกระดูก แก้ไอ แก้ตานซางในเด็ก

          ผลมะขามป้อมสด ใช้รับประทานเป็นผลไม้แก้กระหายน้ำได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังเป็นยาบำรุง แก้หวัด แก้ไอ ละลายเสมหะ ขับปัสสาวะ เป็นยาระบาย รักษาคอตีบ รักษาเลือกออกตามไรฟัน หรือจะนำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้ง รับประทานเป็นยาถ่ายพยาธิ

          ผลมะขามป้อมแห้ง นำมาบดชงน้ำร้อนแบบชาดื่มแก้ท้องเสีย โรคหนองในบำรุงธาตุ รักษาโรคบิด ใช้ล้างตา แก้ตาแดง เยื่อบุตาอักเสบ แก้ตกเลือด ใช้เป็นยาล้างตาหรือจะผสมกับน้ำสนิมเหล็กแก้โรคดีซ่าน โลหิตจาง

          เมล็ด นำมาเผาไฟจนเป็นเถ้าผสมกับน้ำมันพืช ทาแก้คัน หืด หรือตำเป็นผงชงน้ำร้อนดื่มรักษาโรคเบาหวาน หอบหืด หลอดลมอักเสบ รักษาโรคตา แก้คลื่นไส้ อาเจียน





          คุณค่าทางอาหาร

          มะขามป้อมมีรสชาติถึง 5 รสด้วยกันคือ เปรี้ยว หวาน เผ็ดร้อน ขม ฝาด ถือได้ว่าทุกส่วนของมะขามป้อมมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายเราทั้งสิ้น ในมะขามป้อม 1 ผลมีวิตามินซีสูงมาก นับว่าเป็นยาอายุวัฒนะขนานหนึ่ง ทางที่ดีเราควรหันมาบริโภคมะขามป้อมเป็นยาบำรุงและบำบัดโรค

           มะขามป้อมเป็นส่วนผสมของสูตรยาตรีผลาตามตำรับยาไทยโบราณ ซึ่งประกอบด้วยสมอไทย สมอพิเภก และมะขามป้อม เพื่อล้างพิษออกจากระบบต่างๆของร่างกายโดยเฉพาะระบบทางเดินอาหาร ระบบเลือด และระบบน้ำเหลือง

          ในมะขามป้อมนั้นมีแคลเซียมสูงมาก ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง และยังมีวิตามินซีช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันได้อีกด้วย

          คุณค่าทางโภชนาการและอาหารในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม

          พลังงาน                     62                     แคลอรี่

          โปรตีน                      0.3                     กรัม

          ไขมัน                        0.1                    กรัม

          คาร์โบไฮเดรต           14.9                    กรัม

          แคลเซียม                    18                    มิลลิกรัม

          ฟอสฟอรัส                     4                    มิลลิกรัม

          เหล็ก                        0.5                     มิลลิกรัม

          เบต้าแคโรทีน              21                     มิลลิกรัม

          วิตามีนบี 1                0.02                    มิลลิกรัม

          วิตามีนบี                     20                     มิลลิกรัม

          ไนอะซีน                    0.8                     มิลลิกรัม

          วิตามีนซี                     19                     มิลลิกรัม

ปัญหาที่พบในภัยแล้ง

ภัยร้าย"ฤดูแล้ง"อันตรายในโรงเรียน ขาดน้ำดื่มสะอาด-พบปนเปื้อนสารพิษ
          ภัยแล้งเริ่มแพร่ระบาดไปหลายหมู่บ้าน ประกอบกับภาวะฝนทิ้งช่วง ทำให้แหล่งน้ำเริ่มแห้งลง โดยเฉาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือของประเทศเกิดสถานการณ์ภันแล้งทุกปี ส่งผลกระทบต่อการภาคการเกษตรกร และการดำรงชีวิตในด้านต่างๆของประชาชนจากข้อมูลกรมป้องกันภัย และบรรเทาสาธารณภัย เกิดสถานการณ์ภัยแล้งรวม 14 จังหวัด 61 อำเภอ 353 ตำบล 2,290 หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 20.06 ของหมู่บ้านที่ประสบภัยแล้ง และ 3.06 ของหมู่บ้านทั่วประเทศ แยกเป็น ภาคเหนือ 7 จังหวัด 43 อำเภอ 245 ตำบล 1,736 หมู่บ้าน ได้แก่ กำแพงเพชร ตาก พิจิตร ลำปาง แพร่ น่าน และพิษณุโลก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 จังหวัด 2 อำเภอ 12 ตำบล 156 หมู่บ้าน ได้แก่ ชัยภูมิ ภาคกลาง 3 จังหวัด 11 อำเภอ 79 ตำบล 174 หมู่บ้าน ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี และเพชรบุรี และภาคตะวันออก 2 จังหวัด 4 อำเภอ 12 ตำบล 196 หมู่บ้าน ได้แก่ ตราด และสระแก้ว ภาคใต้ 1 จังหวัด 1 อำเภอ 5 ตำบล 28 หมู่บ้านคาดว่าสถานการณ์ภัยแล้งจะส่งผลกระทบให้พื้นที่การเกษตรเสียหาย จำนวน 84,953 ไร่ แยกเป็น พืชไร่ 30,442 ไร่ นาข้าว 25,154 ไร่ พืชสวน 29,357 ไร่ ประมาณการมูลค่าความเสียหาย 11,832,527 บาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีจังหวัดประสบภัยแล้งรวม 19 จังหวัด 89 อำเภอ 439 ตำบล 2,873 หมู่บ้าน น้อยกว่าจำนวน 583 หมู่บ้าน"ภัยแล้ง" อาจจะส่งผลกระทบ ร่วมถึงปริมาณน้ำดื่มน้ำภายในโรงเรียนได้ โรงเรียนก็ไม่ควรชะล่าใจ เนื่องจากภัยแล้งปีนี้มาเร็วและอาจจะยาวนาน ส่งผลทำให้โรงเรียนขาดแคลนน้ำ ดังนั้นโรงเรียนควรเตรียมการ และเฝ้าระวัง ตลอดจนหาวิธีการบรรเทาภัยแล้งที่อาจจะเกิดขึ้นภายในโรงเรียนดังนี้..สำรวจสภาพปัจจุบันของถังน้ำ แท้งค์น้ำ บ่อบาดาล ว่ามีร่องรอยชำรุด รูรั่ว ต้องซ่อมแซมหรือซ่อมบำรุงหรือไม่ การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อำเภอ เทศบาล หรือสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อนำน้ำมาเตรียมบรรจุใส่ไว้ในถังเก็บน้ำให้เพียงพอกรณีที่โรงเรียนขาดแคลนน้ำ การใช้น้ำอย่างประหยัดให้เกิดประโยชน์อย่างมากที่สุด เพราะโรงเรียนเป็นศูนย์รวมเด็กๆเป็นจำนวนมาก การใช้น้ำ เพื่อการดื่ม การปรุงอาหารกลางวัน การล้างทำความสะอาด การใช้น้ำในห้องน้ำห้องส้วม ตลอดจนกิจกรรมการเกษตร การปลูกพืชผักสวนครัว เนื่องจากน้ำเป็นปัจจัยสำคัญเป็นอย่างมากทางโรงเรียนจึงต้องเตรียมน้ำไว้สำหรับใช้ภายในโรงเรียนอย่างพอเพียง ที่สำคัญโรงเรียนก็ต้องให้ความรู้ และฝึกฝนให้นักเรียนรู้จักการใช้น้ำอย่างประหยัด ไม่ใช้น้ำอย่างไม่รู้คุณค่า ทั้งที่โรงเรียนและที่บ้านพัก การสั่งสมอุปนิสัยการรู้ประหยัดน้ำ การเห็นคุณค่าของน้ำให้แก่นักเรียน ก็จะเป็นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้นักเรียนได้รู้จักการใช้น้ำอย่างประหยัด เป็นการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในระยะยาวได้อย่างเป็นรูปธรรมนายปราณีต ร้อยบาง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านบโยบายและแผน กรมทรัพยากรน้ำบาดาล บอกถึงปัญหาที่มีการสำรวจแหล่งน้ำดื่มในโรงเรียนตามชนบท ในช่วงฤดูภัยแล้ง ว่า ทางกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ มีการสำรวจโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อเตรียมขุดเจาะน้ำบาดาลสะอาดดื่มได้ ให้กับโรงเรียนที่ขาดแคลนน้ำดื่ม จากการสำรวจโรงเรียน 32,000 กว่าแห่ง พบว่ามีโรงเรียนที่ยังขาดแคลนน้ำดื่ม และน้ำดื่มไม่สะอาดที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน 2,478 แห่ง เนื่องจากน้ำดื่มที่นักเรียนดื่มพบว่าไม่มีสะอาด และมีการปนเปื้อน อาจจะส่งผลเสียให้กับการเจริญเติบโตทางด้านสมองของเด็กนักเรียน รวมถึงโรคอย่างอื่นที่มากับน้ำที่ไม่อะอาด ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อร่างกายเด็กนักเรียนในระยะยาวได้
          นอกจากนี้ โรงเรียนบางแห่งยัง พบว่า น้ำดื่มที่บริการให้กับเด็กนักเรียนภายในโรงเรียนมีสารปนเปื้อน หรือสารพิษ ที่มากับน้ำ เนื่องจากโรงเรียนบางแห่งตั้งอยู่ใกล้กับโรงงานอุตสาหกรรม แหล่งทิ้งขยะ และกากสารพิษ ทำสารพิษซึมลงสู่ดิน และไหลลงสู่แหล่งน้ำ ส่วนใหญ่พบในพื้นที่ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ ตามลำดับ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ได้ขออนุมัติงบประมาณกับรัฐบาล เพื่อดำเนินการเร่งแก้ไข ซึ่งรัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณในปี2552 ในการติดตั้งน้ำดื่มให้กับโรงเรียน 430 แห่ง จากที่ต้องเร่งแก้ไขแหล่งน้ำดื่มของโรงเรียนเป็นการด่วน 2,478 แห่งน.ส.สมคิด  บัวเพ็ง อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กล่าวว่า ปัญหาเรื่องภัยแล้ง ในส่วนของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล มีการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลตามหมู่บ้านชนบทเพียงเติ่มในปี 2552  อีก 300 กว่าแห่ง และที่ผ่านมา มีการขุดเจาะน้ำบาดาล พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องสูบน้ำให้กับชาวบ้านไปแล้วกว่า 1,000 แห่ง  ตามหมู่บ้านที่ประสบกับปัญหาภัยแล้งอย่างหนัก  นอกจากนี้เรายังมีการติดตั้งระบบประปากรองน้ำที่สะอาด ตามตำบลต่างๆ และสามารถนำน้ำมาดื่มได้อีกหากชาวบ้าน หรือโรงเรียนต่างๆ ขาดน้ำดื่มที่สะอาด แจ้งมายังหน่วยบริการน้ำบาดาล ของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ตามอำเภอต่างๆ  ซึ่งเรามีรถบรรทุกน้ำบริการอีก 700 คันในช่วงฤดูแล้ง แต่หากน้ำยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของชาวบ้าน หรือหมู่บ้านอยู่ห่างไกลจุดแห่งน้ำ ทางกรมทรัพยากรบาดาล ร่วมกับกองทัพ บรรทุกน้ำแจกจ่ายให้กับชาวบ้านทุกปีอีกด้วย ทั้งนี้เรายังมีโครงการจัดหาแหล่งน้ำให้กับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชนชนบท ที่ตรวจพบว่าเป็นหมู่บ้านประสบปัญหาภัยแล้งซ้ำซาก โดยใช้เทคนิกทางวิชาการสำรวจธรณีฟิสิกส์ เพื่อหาแหล่งน้ำบาดาลให้กับชาวบ้านได้อุปโภคบริโภคในส่วนของการสำรวจร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการพบว่ามีโรงเรียนที่ขาดแคลนน้ำดื่มสะอาดมากถึง 2,478 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพฐ.) ทั้งนี้น้ำดื่มที่นักเรียนใช้อยู่ พบว่าคุณภาพน้ำไม่สะอาด มีการปนเปื้อน และไม่เป็นไปตามมาตรฐานของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ถึงร้อยละ80 นักเรียนส่วนใหญ่มักจะดื่มน้ำที่นำมาจากบ้าน ดังนั้นกรมทรัพยากรน้ำบาดาลจึงต้องเข้าไปแก้ปัญหาด้วยการเจาะบ่อน้ำบาดาล และวางระบบประปา และติดตั้งเครื่องกรองน้ำ เพื่อจัดหาน้ำดื่มสะอาดให้กับนักเรียนทั้ง 2,478 แห่ง โดยจะน้ำร่องในปี 2551 จำนวน 60 แห่ง ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 72.46 ล้านบาทสำหรับโรงเรียนนำร่อง 60 แห่ง ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีแหล่งน้ำเพื่อใช้ในกิจกรรมต่างๆเป็นของตนเอง และเป็นพื้นที่ถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ภัยแล้งอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี อาทิ ราชบุรี สุโขทัย บุรีรัมย์ ชัยนาท ศรีสะเกษ เป็นต้น นอกจากนั้น สพฐ. ยังเป็นหน่วยงานที่ให้ข้อมูลอีกทางหนึ่งรวมทั้งมีหน่วยงานที่ส่งเรื่องมาที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาลด้วย สำหรับปีงบประมาณ 2552 กรมได้เสนอของบประมาณสำหรับโครงการสำรวจและพัฒนาแหล่งน้ำบาดาล เพื่อสนับสนุนระบบน้ำดื่มสะอาดให้กับโรงเรียนทั่วประเทศอีก 430 แห่ง งบประมาณทั้งสิ้น 527.61 ล้านบาท ถือเป็นการบูรณาการของหน่วยงานราชการ"เมื่อเข้าสู้ฤดูแล้งแล้ว แหล่งน้ำที่มีอยู่บนพื้นดินจะแห้งลงเป็นปัญหาทุกปี แม้แต่น้ำบาดาลสามารถที่จะขุดเจาะนำน้ำขึ้นมาใช้ได้ตลอด น้ำบาดาลจึงเป็นสิ่งสำคัญมากสามารถที่จะช่วยเหลือจุดที่ไม่มีแหล่งน้ำได้ สำหรับแก้ไขปัญหาภัยแล้ง" น.ส.สมคิด  กล่าว
          ขณะที่นายศิริพงศ์  หังสพฤกษ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ(ทน.) เปิดเผยว่า ปี 2552-2554  กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ได้มอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำ เร่งบูรณะและฟื้นฟูแหล่งน้ำขนาดเล็กนอกเขตชลประทานทั่วประเทศ  รวมถึงแหล่งน้ำหลักที่ชุมชนใช้ประโยชน์เพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตรเป้าหมาย 6,552 แห่ง โดยใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 14,942 ล้านบาท เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำ และภัยแล้งซ้ำซากในพื้นที่เสี่ยงการขาดแคลน น้ำมาก และปานกลางสำหรับการฟื้นฟูแหล่งน้ำในโครงการฯ เน้นให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ส่วนใหญ่อยู่ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 1,189 แห่ง วงเงินลงทุน  4,887 ล้านบาท รองลงมา คือ ภาคเหนือ จำนวน 2,011 แห่ง วงเงินลงทุน 4,527 ล้านบาท   ภาคกลาง 846 แห่ง วงเงินลงทุน 3,815 ล้านบาท และภาคใต้ 2,506 แห่ง วงเงินลงทุน จำนวน 1,713 ล้านบาท  เมื่อ ดำเนินการแล้วเสร็จ คาดว่าจะเพิ่มความจุเก็บกักน้ำได้ถึง 834 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งสามารถเอื้อประโยชน์ต่อประชาชนได้ถึง 359,562 ครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2.19 ล้านไร่กระทรวงทรัพยากรฯ ยังได้มอบให้เร่งเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้กับแหล่งน้ำในประเทศ เช่น โครงการผันน้ำห้วยหลวง-หนองหาน ลำปาว-น้ำชี ใช้งบประมาณที่คณะรัฐมนตรี อนุมัติเงินลงทุน ประมาณ 76,500 ล้านบาท โดยจะดำเนินการระยะแรก 32,000 ล้านบาท ระยะที่2จะผันน้ำจากแม่น้ำงึม สปป.ลาว คาดว่าจะช่วยเพิ่มน้ำต้นทุนให้กับประเทศได้ถึง 2,000 ล้านลูกบาศก์เมตร  ขณะเดียวกันยังมีแผนประสานร่วมมือการจัดการน้ำกับต่างประเทศด้วย เบื้องต้นได้เตรียมร่วมบริหารจัดการเพื่อใช้ประโยชน์จากแม่น้ำพรมแดน เช่น แม่น้ำโขงและแม่น้ำสาละวินเพิ่มมากขึ้น  หากประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากภัยแล้ง สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนสาธารณภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสาน และให้การช่วยเหลือโดยด่วน....

อ้างอิง
SCOOP@NAEWNA.COM

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

เรียนรู้ใช้ชีวิตแบบผู้ไทย

ผู้ไทยและสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดกาฬสินธุ์

   เป็นชนกลุ่มหนึ่งที่อพยพมาจากประเทศจีนตอนใต้เคลื่อนย้ายลงมาผ่านเวียตนามและลาว ข้ามฝั่งแม่น้ำโขง เข้ามาตั้ง หลักแหล่งอยู่ทางภาคอีสานของไทย ส่วนหนึ่งอยู่ในจังหวัดกาฬสินธุ์หลายอำเภอ ชาวผู้ไทยชอบอาศัยอยู่ใกล้กับภูเขาเนื่อง จากต้องพึ่งพาอาศัยธรรมชาติมาก เช่น เก็บหน่อไม้ หวาย ไข่มดแดง มาเป็นอาหาร นำไม้ไผ่ บนภูเขามาสานเป็นภาชนะ ต่าง ๆเช่น กระติ๊บ กระเตาะ ตะกร้า และเครื่องใช้อื่น ๆ ชาวผู้ไทยเป็นผู้ยึดมั่นในธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของ ตนเอง เช่น ภาษาพูด การแต่งกาย ดนตรีพื้นบ้าน การทอผ้า การจักสานไม้ไผ่ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

หมู่บ้านวัฒนธรรมผู้ไทยโคกโก่ง 

ตั้งอยู่เชิงเขาภูพานที่ทอดยาวจากอีสานเหนือลงมาทางใต้ในเขต อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ อยู่ห่างจากตัวจังหวัดไป ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 90 กม. ห่างจากกรุงเทพฯ 650 กม. โดยแยกจากทางหลวงหมายเลข 2042 สายกุฉิ - นารายณ์-มุกดาหาร (เส้นทางสู่ประตูอินโดจีน) ถึงหลักกิโลเมตรที่ 52 ที่บ้านนาไคร้เลี้ยวซ้ายไปตามถนนลูกรังเข้าหมู่บ้าน ระยะทาง 3 กม.
    เป็นหมู่บ้านขนาดเล็กจำนวน 130 หลังคาเรือน มีประชากร 577 คน อากาศเย็นตลอดทั้งปี มีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่านให้ ชาวบ้านได้ใช้น้ำบริโภค เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อนในบรรยากาศป่าเขาลำเนาไพร อากาศบริสุทธิ์ ร่มรื่น สัมผัสวัฒนธรรมชาวผู้ไทย รับประทานอาหารพื้นบ้านแบบพาแลง มีแกงอ่อมหวายหมกเห็ด ซุปหนอไม้ ไข่มดแดง แกง ผักหวาน แมลงต่าง ๆ หมุนเวียนไปตามฤดูกาล ชมการแสดงดนตรีพื้นบ้าน ฟังเสียงปี่ผู้ไทย ซอไม้ไผ่ พิณ แคน กลองตุ้ม ชมและสัมผัสการผลิตสินค้าหัตถกรรมพื้นบ้าน การทอผ้าจักสานไม้ไผ่ และเพลิดเพลินกับการเดินทางชมป่าเขา ลำเนาไพร ถ้ำ น้ำตก ศึกษาพรรณไม้หายากและพืชสมุนไพรท้องถิ่นที่ยังคงมีอยู่มากมายในวนอุทยานภูผาวัว ด้านเหนือของหมู่บ้าน

สถานที่ท่องเที่ยวในเขตวนอุทยานภูผาวัว

เส้นทางที่ 1 ภูผาวัว-น้ำตกตาดยาว-กรงนกทา-เตาฮาง ระยะทาง 1.5 กม.
เส้นทางที่ 2 ภูผาวัว-น้ำตกตาดสูง-จุดชมวิว-ผานางแอ่น-ผานางคอย-ดานโหลง ระยะทาง 2 กม.
ประเพณี
   งานประเพณีน้ำตกตาดสูง จัดในวันเสาร์แรกของเดือนตุลาคม มีการทำบุญ พิธีเซ่นไหว้เจ้าปู่ การแสดงศิลป วัฒนธรรมผู้ไทย และมหรสพให้ชมตลอดวัน
เลี้ยงผีเชื้อ หมอเหยาในหมู่บ้านร่วมกันจัดเพื่อขอบคุณดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ มีการรวมญาติจัดงานรื่นเริง มีอาหารเซ่นไหว้ เลี้ยงหอมเหสักข์ ชาวบ้านร่วมกันจัดเพื่อบูชาเจ้านายที่เคยปกครองเมืองไทย ให้ช่วยปกป้องรักษาบ้านเมือง ให้อยู่เย็นเป็นสุข จัดให้มีพิธีเลี้ยงหอมเหสักข์ ปีละ 1 ครั้ง ในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือนหกถึงสิ้นเดือนเจ็ด
พิธีเหยา คือพิธีการรักษาผู้ป่วยของชาวผู้ไทย เป็นการขอขมาผีที่ทำให้เจ็บป่วย

 การเตรียมตัวเข้าที่พักที่บ้านชาวผู้ไทย

   กางมุ้งนอน มีที่นอนผ้าห่มและหมอน ไม่มีห้องส่วนตัว ใช้ห้องน้ำรวมที่บ้านพัก เครื่องใช้ส่วนตัว ให้เตรียมมาเอง นักท่องเที่ยวสามารถนำเต็นท์พร้อมเครื่องนอนไปเอง นอนที่วนอุทยานภูผาวัว ใช้ห้องน้ำที่วัด มีโทรศัพท์สาธารณะ 1 ตู้ มีไฟฟ้าใช้ น้ำใช้เป็นน้ำที่ต่อท่อมาจากลำธาร สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง
   วนอุทยานภูผาวัว มีพื้นที่ประมาณ 4,000 ไร่ อยู่ติดหมู่บ้านผู้ไทยโคกโก่งด้านทิศเหนือ ธรรมชาติสวยงาม มีเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ชมต้นไม้ประจำถิ่น และพืชสมุนไพร (น้ำตกตาดสูง น้ำตกตาดยาว ผานางแอ่น ผานางคอย ดานโหลง นำเต้าปรุง ผาคันยู ไก่แก้ว เป็นต้น)
น้ำตกตาดสูง อยู่ห่างจากหมู่บ้านโคกโก่ง ประมาณ 200 เมตร
น้ำตาดยาว เป็นลานสไลเดอร์ธรรมชาติที่ใหญ่และยาวดานโหลง เป็นลานหินกว้างใหญ่เนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ มีตะบองเพชรหิน ข่อยดาน และไม้ป่านานาชนิดขึ้นอยู่เป็นจุด ๆ ตามธรรมชาติ เมื่อยืนอยู่บริเวณนั้นเหมือนอยู่ในประเทศซาอุดิอาราเบีย
   วัดสิมนาโก อยู่ห่างจากหมู่บ้านโคกโก่ง 19 กม. ชมพิพิธภัณฑ์ชาวผู้ไทย มีวัตถุ และเครื่องใช้ของชาวผู้ไทย สมัยโบราณให้ชมมากมาย
   วนอุทยานภูผาผึ้ง อยู่ห่างจากหมู่บ้านไปทางทิศเหนือประมาณ 12 กม. เดินป่าชมธรรมชาติ ลานหินปุ่ม   จุดชมวิว ถ้ำฝ่ามือแดง
   สะพานหิน (ขัวหิน) ที่เกิดจากธรรมชาติอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
   หมู่บ้านหนองห้าง-ห้วยม่วง อยู่ห่างจากหมู่บ้านโคกโก่งประมาณ 18 กม. ชาวบ้านที่นี่เป็นชาวผู้ ไทยที่มีฝีมือ ในการผลิตสินค้าหัตถกรรมเครื่องจักสานด้วยไม้ไผ่ เช่น กระเตาะ กระติ๊บ มีลวดลายสวยงามมาก
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูสีฐาน อยู่ห่างจากหมู่บ้านโคกโก่งประมาณ 27 กม. มีทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ สมุนไพร ลานหิน อ่างเก็บน้ำสีฐาน
   วัดป่าพุทธบุตร อยู่ห่างจากหมู่บ้านโคกโก่งประมาณ 30 กม. เป็นสถานที่เก็บต้นไม้กลายเป็นหิน และซากฟอสซิลปลาเลปิโดเทส ซึ่งเป็นพันธุ์ปลาโบราณจำนวนมากมาย โดยขุดพบที่ภูโหล่ย
ศูนย์แกะสลักหินบ้านนากะเดา ชาวบ้านมืออาชีพแกะสลักหินเป็นรูปใบเสมา ลูกนิมิตร และรูปสัตว์ต่าง ๆ อยู่ห่างจากบ้านโคกโก่งประมาณ 47 กม.
แหล่งพบรอยเท้าไดโนเสาร์
  วนอุทยานภูแฝก โดยเด็กหญิงพัชรี ไวเสน และเด็กหญิงกัลยามาศ เป็นผู้พบเห็น เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2539 ระหว่างที่ไปเที่ยวป่ากับผู้ปกครอง พบเห็นรอยเท้าไดโนเสาร์พันธุ์คาโนซอร์ ซึ่งเป็นไดโนเสาร์กินเนื้อ ติดอยู่ที่ลานหินทางน้ำไหล ขนาดใหญ่ชัดเจน จำนวน 7 รอย ห่างจากหมู่บ้านโคกโก่งประมาณ 40 กม.
  ภูกุ้มข้าว อ.สหัสขันธ์ เป็นแหล่งค้นพบซากฟอสซิลกระดูกโดโนเสาร์ชนิดกินพืชมากกว่า 600 ชิ้น ทับถมอยู่บริเวณเดียวกัน เป็นสถานที่ตั้งสถานีวิจัยไดโนเสาร์ มีเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรธรณี ปฏิบัติงานขุดและวิจัยซากฟอสซิล ไดโนเสาร์ มีอาคารครอบคลุมและนิทรรศการเรื่องไดโนเสาร์จากแหล่งต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เป็นสถานที่ก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ จ.กาฬสินธุ์ อยู่ห่างจากบ้านโคกโก่ง ประมาณ 95 กม. รายการนำเที่ยวหมู่บ้านวัฒนธรรมผู้ไทยโคกโก่ง
 เชิญมาเที่ยวกันเยอะๆนะค่ะ

ประเพณีสงกานต์บ้านเรา

สงกรานต์

   เป็นประเพณีของคนไทยที่ยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นเวลานาน อันที่จริงไม่ใช่เฉพาะคนไทยในประเทศไทยเท่านั้น ที่ถือว่าประเพณีสงกรานต์มีความสำคัญ คนที่พูดภาษาตระกูลไท ก็ยึดถือปฏิบัติเช่นเดียวกัน เช่น ประเทศลาว คนไทยใหญ่ในประเทศพม่าที่ชายแดนติดกับภาคเหนือของไทย คนจีนที่พูดภาษาตระกูลไท ในแค้วนยูนนาน เป็นต้น
   สงกรานต์ เป็นคำที่ชาวบ้านทั่วไปนิยมใช้ แต่คำเต็ม ๆ คือ ตรุษสงกรานต์ ซึ่งจะได้กล่าวในรายละเอียด ดังนี้
     ตรุษ แปลว่า ตัด หรือ ขาด หมายถึง ตัดปี ขาดปี หรือสิ้นปี ดังนั้น ตรุษ จึงหมายถึงพิธีแสดงความยินดีที่ปีเก่าผ่านไป การมีชีวิตรอดมาตลอดปีได้ ก็มีการแสดงความยินดี คนไทยแต่ก่อนนับเดือน เมษายน เป็นเดือนสิ้นปี และเริ่มปีใหม่ พิธีทำบุญวันตรุษ จะทำ 3 วัน คือ เมื่อถึงเดือน 4 วันแรม 14 ค่ำ แรม 15 ค่ำ และวันขึ้น 1 ค่ำ ของเดือน 5 จะมีการนิมนต์พระมาสวด และมีการทำบุญ ถวายอาหารและขอพรจากพระ เพื่อเป็นสวัสดิมงคล สันนิฐานว่าคนไทยรับนับถือพุทธศาสนา เลยทำแบบอย่างพิธีทำบุญวันตรุษตามแบบอย่างของลังกามาด้วย
     ส่วน สงกรานต์ แปลว่า การย้ายที่ หรือ เคลื่อนที่ หมายถึง พระอาทิตย์ย้ายที่หรือเคลื่อนเข้าสู่ราศีใหม่ ซึ่งก็หมายถึง การขึ้นปีใหม่นั่นเอง คนจึงแสดงความยินดีที่มีชีวิตยืนยาวย่างเข้าสู่ปีใหม่ จึงต้อนรับปีใหม่ วันปีใหม่จะเป็นวันที่ 13, 14, และ 15 เมษายนของทุกปี
     วันที่ 13 เมษายน เรียกว่า วันมหาสงกรานต์ วันที่ 14 เรียกว่า วันเนา และวันที่ 15 เรียกว่า วันเถลิงศก ทางภาคเหนือ เรียกต่างกันไปบ้าง แต่ก็เข้าใจง่ายดี ดังนี้ วันที่ 13 เมษายน เรียกว่า วันสังขารล่อง คงหมายถึง ร่ายกาย จิต วิญญาณเก่า ๆ ของปีเก่ากำลังผ่านพ้นไป วันที่ 14 เมษายน เรียกว่า วันเน่า ส่วนวันที่ 15 เมษายน เรียกว่า วันพญาวัน ซึ่งก็หมายถึงวันสำคัญวันแรกของปีใหม่นั่นเอง
เรื่องของสงกรานต์ มีตำนานปรากฏในจารึกวัดพระเชตุพน กล่าวถึงมูลเหตุแห่งสงกรานต์ สรุปได้ว่า
     มีเศรษฐีคนหนึ่งถูกนักเลงสุราใกล้บ้านที่มีลูกหน้าตาหมดจด 2 คน มากล่าวหาหยาบคายว่า ร่ำรวยก็สู้เขาไม่ได้ แม้ยากจนก็ยังมีลูกสืบสกุล ตายแล้วก็สูญเปล่า เศรษฐีจึงไปบนบานศาลกล่าวที่ต้นไทร ริมแม่น้ำ ซึ่งเป็นวันสงกรานต์ พระอินทร์จึงให้ธรรมบาลเทวบุตรมาปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี เมื่อคลอดมา ชื่อ ธรรมบาลกุมาร บิดาปลูกปราสาทเจ็ดชั้นให้อยู่ใต้ต้นไทรนั้น ธรรมบาลเฉลียวฉลาด เรียนจบไตรเพท เมื่ออายุ 7 ขวบ และรู้ภาษานกด้วย ท้าวกบิลพรหมจึงมาทดลองความรู้ โดยถามปัญหา 3 ข้อ ถ้าตอบได้ จะตัดศีรษะบูชา คือ  เช้าราศีอยู่ที่ไหน ,เที่ยงราศีอยู่ที่ไหน ,ค่ำราศีอยู่ที่ไหน
ภายใน 7 วันจะมาฟังคำตอบ ธรรมบากลุมาร คิดไม่ออก ถึงวันที่ 6 จึงแอบหนีจากปราสาทไปหลบอยู่ใต้ต้นตาลใหญ่ 2 ต้น ซึ่งพญาอินทรีผัวเมียทำรังอยู่บนนั้น

     ตอนค่ำนางนกอินทรีถามผัวว่า พรุ่งนี้จะได้อาหารที่ไหนกิน ผัวตอบว่า จะได้กินศพธรรมบาลกุมาร เพราะจะแพ้ตอบปัญหากบิลพรหมไม่ได้ จะถูกตัดหัว เมื่อนางนกอินทรีถามปัญหาว่าอย่างไร และคำตอบว่าอย่างไร พญาอินทรีเฉลยปัญหาให้เมียฟังว่า
     
ตอนเช้าราศีอยู่ที่หน้า มนุษย์จึงเอาน้ำล้างหน้าตอนเช้า
     ราศีอยู่ที่อก มนุษย์ทั้งหลายจึงเอาเครื่องหอมมาปะพรมที่อก
     ราศีอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงล้างเท้าก่อนนอน
     ธรรมบาลได้ฟังนกอินทรีผัวเมียสนทนาจึงกลับมาประสาท พอวันรุ่งขึ้นกบิลพรหมก็มาถามปัญหา ธรรมบาลก็ตอบตามที่ได้ยินจากพ่อนกอินทรี กบิลพรหมแพ้จึงต้องตัดศีรษะตามสัญญา แต่ศีรษะของกบิลพรหมมีฤทธิ์อำนาจมาก ถ้าตกถึงพื้น จะเกิดไฟไหม้ทั่วโลก ถ้าทิ้งบนอากาศฝนจะแล้ง ถ้าโยนลงน้ำ มหาสมุทรจะเหือดแห้งไปทันที จึงให้ธิดาทั้งเจ็ดเอาพานมารับศีรษะไว้ แห่รอบเขาพระสุเมรุ แล้วเชิญไปไว้ในมณฑปในถ้ำคันธธุลี เขาไกรลาส เมื่อครบ 365 วันหรือ 1 ปี นางทั้งเจ็ดจัดเวรกันมาเชิญศีรษะกบิลพรหมออกมาแห่รอบเขาพระสุเมรุ โดยกำหนดว่า วันที่ 13 เดือนเมษายน คือวันมหาสงกรานต์ ตรงกับวันใด ธิดาประจำวันนั้นก็จะป็นผู้อัญเชิญพาน ดังนี้
       วันอาทิตย์ นางสงกรานต์ชื่อ ทุงษะ
       วันจันทร์ นางสงกรานต์ชื่อ โคราค
       วันอังคาร นางสงกรานต์ชื่อ รากษส
       วันพุธ นางสงกรานต์ชื่อ มัณฑา
       วันพฤหัสบดี นางสงกรานต์ชื่อ กิริณี
       วันศุกร์ นางสงกรานต์ชื่อ กิมิทา
       วันเสาร์ นางสงกรานต์ชื่อ มโหทร
     สงกรานต์เป็นประเพณีที่ชาวไทยทั่วประเทศปฏิบัติสืบต่อเป็นประเพณีมาช้านาน ตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน จนถึงวันที่ 15 เมษายน ชาวบ้านจะทำบุญตักบาตร ปล่อยนก ปล่อยปลา และสรงน้ำพระทั้งพระพุทธรูป และพระสงฆ์ แล้วก็จะรดน้ำ มีการเล่นสาดน้ำและเล่นกีฬาพื้นบ้าน

     ประเพณีปล่อยปลาถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพราะเดือนเมษายน เป็นหน้าแล้ง อากาศร้อนมาก น้ำแห้งขอด ปลาก็จะไปรวมกันอยู่ตามแหล่งน้ำเล็ก ๆ หากน้ำแห้งก็จะตาย เป็นเหยื่อของนก กา หรือสัตว์อื่น คนเห็นก็เมตตา นำไปปล่อยในแม่น้ำ พอถึงฤดูฝนปลาที่รอดตายก็กลับมาแพร่พันธุ์เป็นอาหารของคนได้อีก






อ้างอิง
http://www.thaifolk.com/doc/songkran.htm

นครแม่สอด

นครแม่สอด

นครแม่สอด เป็นโครงการยุบรวมเทศบาลนครแม่สอดและเทศบาลตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตากและจัดตั้งขึ้นเป็นนครแม่สอดมีฐานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอาณาเขตครอบคลุมเขตเทศบาลนครแม่สอดและเทศบาลตำบลท่าสายลวดที่มีอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัติใช้บังคับ นครแม่สอดมีฐานะเป็นนิติบุคคล การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเขตนครแม่สอดให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา เมื่อมีการจัดตั้งนครแม่สอดแล้ว ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดตากมีเขตพื้นที่ครอบคลุมเขตจังหวัดตากยกเว้นเขตนครแม่สอด

แนวทาง

   โดยมีแนวทางการดำเนินการโครงการเป็นหลายแนวทาง เช่น ยกฐานะเทศบาลเมืองแม่สอด เป็นเทศบาลนครแม่สอดแล้วจัดตั้งเป็นเขตการปกครองในรูปแบบใหม่ที่ศึกษาลักษณะการบริหาร การจัดการ และการปกครองจาก กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา เข้าไว้ด้วยกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการขยายตัวของอำเภอแม่สอด เป็นจังหวัดแม่สอด ซึ่งจะครอบคลุมพื้นที่ 5 อำเภอชายแดนฝั่งตะวันตกของจังหวัดตาก ประกอบด้วย อำเภอแม่สอด อำเภอแม่ระมาด อำเภอท่าสองยาง อำเภอพบพระ อำเภออุ้มผาง และโครงการจัดตั้ง 3 กิ่งอำเภอ คือ กิ่งอำเภอรวมราษฎร์คีรี แยกจากอำเภอพบพระ กิ่งอำเภอพะวอ-ด่านแม่ละเมา แยกจากอำเภอแม่สอด และกิ่งอำเภอมงคลคีรีเขตร์ แยกจากอำเภอท่าสองยาง
   ปัจจุบันมีคณะอนุกรรมการพัฒนารูปแบบให้บริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หาแนวทางเพื่อผลักดัน การยกระดับฐานะท้องถิ่นที่มีความพร้อมเพื่อเป็นเขตปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษในเมืองหลักที่สำคัญ โดยพิจารณา 5 ส่วนประกอบสำคัญในการคัดเลือก ซึ่งประกอบไปด้วย อันดับแรก คือ เมืองที่มีความพร้อมทางด้านเศรษฐกิจและมีการพัฒนาในระดับมหานคร เช่น เมืองใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา เป็นต้น และเมืองที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยว อาทิเช่น เกาะสมุย หัวหิน รวมทั้งเมืองชายแดน เช่น แม่สอด อรัญ ตลอดจนเมืองอุตสาหกรรม เช่น มาบตาพุด และสุดท้ายเมืองด้านประวัติศาสตร์ อย่างเช่น อยุธยา และสุโขทัย เป็นต้น  ซึ่งเมืองแม่สอดถือได้ว่าเป็นเมืองที่เข้าข่ายในหลักการว่าด้วยเมืองชายแดนสำคัญด้านเศรษฐกิจ ทั้งนี้ เมืองแม่สอดได้มีตัวแทนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้เสนอว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนทุกๆด้านของการเป็นเมืองเขตเศรษฐกิจพิเศษ ควบคู่เขตปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ จึงตั้งคณะทำงานขึ้นมา 3 ลักษณะ คือ การศึกษาด้านเมืองเศรษฐกิจชายแดน และท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ เพื่อใช้เมืองแม่สอดเป็นเมืองนำร่องนั้น มีนายวุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า เป็นประธานคณะทำงาน ส่วนเมืองอุตสาหกรรม ให้นายชาติชาย ณ เชียงใหม่ เป็นประธานคณะทำงาน สำหรับเมืองด้านท่องเที่ยวนั้น ให้องค์ประกอบทุกภาคส่วน ศึกษาข้อกฎหมาย อีกทั้งให้คณะสภาพัฒน์ฯ เป็นเลขานุการ คณะทำงานเพื่อติดตามและประเมินผลทุก 2 สัปดาห์

นโยบายของรัฐบาล

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวไว้ในรายการเชื่อมั่นประเทศไทย กับนายกอภิสิทธิ์ ดังนี้ "ความก้าวหน้าของการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เราได้ทำกฎหมายพิเศษในเรื่องของนครแม่สอดซึ่งจะเป็นเขตการปกครองส่วนพิเศษที่รัฐบาลจะได้ผลักดันแบบกรุงเทพมหานครกับเมืองพัทยา นครแม่สอดที่จะเป็นการปกครองท้องถิ่นพิเศษจะมี ความพิเศษมากขึ้นไปอีก คือว่า จะเป็นครั้งแรกที่เราจัดทำกฎหมาย ที่ให้ท้องถิ่นสามารถดำเนินมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของแรงงานต่างด้าว ซึ่งเริ่มด้วยการค้าชายแดน กฎหมายนี้ถือว่าจะเป็นกฎหมายการกระจายอำนาจและการปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีความก้าวหน้าฉบับหนึ่งซึ่งก็เป็นนโยบายใหม่ที่รัฐบาลกำลังทำ" โดยนายจตุรงค์ ปัญญาดิลก ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ส่งหนังสือถึงสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ นร. 0107/2142 เพื่อนำเสนอเรื่องร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ “นครแม่สอด” พ.ศ. ..... เพื่อเรียนให้นายกรัฐมนตรี ได้ทราบถึง ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวที่มีอยู่ 6 หมวด 110 มาตรา ตามที่คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ที่ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของร่าง พ.ร.บ. "นครแม่สอด” พ.ศ. ..... ซึ่งมีสาระสรุปได้คือการกำหนด
  1. พื้นที่ “นครแม่สอด”
  2. โครงสร้างการบริหาร ที่แตกต่างจาก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) รูปแบบอื่น ๆ
  3. อำนาจหน้าที่ทั่วไป (มาตรา 63) ของ “นครแม่สอด” รวมทั้งอำนาจหน้าที่พิเศษ (มาตรา 64)
  4. รายได้รายจ่าย
  5. การกำกับดูแล และให้ดำเนินการตาม ร่าง พ.ร.บ. “นครแม่สอด” และข้อกฎหมาย
โดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้มีการพิจารณาแล้วเห็นว่า “นครแม่สอด” จังหวัดตาก มีศักยภาพ ความพร้อม ในการเป็นประตูเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านและสามารถพัฒนาให้เป็นฐานในการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ มีความเหมาะสมที่จะยกฐานะให้เป็น อปท.รูปแบบพิเศษ “นครแม่สอด” เพื่อให้สามารถจัดบริการสาธารณะที่มีคุณภาพแก่ประชาชนและรองรับการเจริญเติบโตของพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการนครแม่สอด พ.ศ. .... เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553 และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาต่อไป

อ้างอิง
  1.  1.0 1.1 อปท.นิวส์ ปีที่ 3 ฉบับที่ 72 ปักษ์แรก เดือนกรกฎาคม วันที่ 1-15 กรกฎาคม 2556 หน้า 6
  2.  อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ผู้ผลิต). (2553, 28 กุมภาพันธ์). เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายก ฯ อภิสิทธิ์ [รายการโทรทัศน์]. กรุงเทพฯ: สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย [เอ็นบีที].
  3.  สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 22 มิถุนายน 2553

วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554

ภาวะความน่าเชื่อถือทางการเงินของประเทศของเรา

                                                             กระทรวงการคลัง -- จันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2553 09:41:52 น.
   นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้แถลงข่าวเกี่ยวกับผลการวิเคราะห์อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยโดยบริษัท Standard & Poor’s (S&P’s) ว่า เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2553 S&P’s ได้ปรับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวที่ออกโดยรัฐบาลไทยจากระดับที่เป็นลบ (Negative Outlook) มาเป็นระดับที่มีเสถียรภาพ (Stable Outlook) และปรับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยบน ASEAN Regional Scale จาก axAA- มาเป็น axAA และได้ยืนยันอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวและระยะสั้นสกุลเงินต่างประเทศ (Long-term/Short-term Foreign Currency Rating) ที่ระดับ BBB+/A-2 อันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวและระยะสั้นสกุลเงินบาท (Long - term/ Short - term Local Currency Rating) ที่ระดับ A-/A-2

   โดย S&P’s ชี้แจงว่า การปรับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือในครั้งนี้ สะท้อนถึงมุมมองของ S&P’s ว่า เศรษฐกิจของไทยและสถานะการคลังของรัฐบาลได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองและความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบาย อย่างไรก็ตาม S&P’s อาจปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในอนาคตหากตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและการคลังมีการปรับลดลงอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง หรือในทางกลับกัน S&P’s อาจปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือหากสถานการณ์ทางการเมืองของไทยกลับสู่ความมีเสถียรภาพซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและสถานะทางการคลังของประเทศ
สำหรับปัจจัยหลักที่สนับสนุนอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยมี 3 ประการ ได้แก่
(1) สถานะหนี้ต่างประเทศสุทธิ
(2) วินัยการบริหารจัดการทางด้านการคลัง
(3) ภาระหนี้สุทธิของรัฐบาลที่อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ
   ซึ่ง S&P’s คาดการณ์ว่า ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของไทยจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 170,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในสิ้นปี 2553 ซึ่งทุนสำรองเงินตราดังกล่าวจะช่วยลดแรงกดดันหากเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติทางเศรษฐกิจและการเงิน
S&P’s มองว่า ฐานะการคลังของรัฐบาลที่เกินดุลในช่วง 2-3 ปี ก่อนปี 2552 ได้ส่งผลให้หนี้โดยตรงสุทธิของรัฐบาล ณ สิ้นปี 2552 ต่ำกว่าร้อยละ 20.3 ของ GDP ซึ่งต่ำกว่าค่ามัธยฐานของกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในกลุ่ม BBB อย่างมีนัยสำคัญ โดยหนี้ที่ลดลงและสภาวะตลาดเงินในประเทศที่เอื้ออำนวยทำให้ภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลอยู่ในระดับที่เหมาะสมที่ร้อยละ 5.3 ของรายได้ของรัฐบาล ถึงแม้ว่าระดับรายได้ของรัฐบาลจะอยู่ที่ร้อยละ 20.3 ของ GDP ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่ม BBB  ที่ผ่านมา ความไม่แน่นอนทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะเคยจัดได้ว่าเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจก็ตาม แต่ปัจจุบันในการตัดสินใจลงทุนระยะยาว นักลงทุนหันมาให้ความสำคัญต่อเสถียรภาพทางการเมืองมากขึ้น นอกจากนี้ ปัจจัยที่มีผลลบต่อความน่าเชื่อถือของไทยอีกปัจจัยหนึ่ง ได้แก่ สินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (ซึ่งหมายรวมถึงหนี้ที่ได้รับการปรับโครงสร้างแล้ว) ในระบบธนาคารที่จะเป็นปัจจัยถ่วงสำหรับผลการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งในมุมมองของ S&P’s ปัญหาดังกล่าวเกิดจากโครงสร้างทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการล้มละลายและกระบวนการฟื้นฟูกิจการที่ยังไม่เหมาะสมเท่าที่ควร โดย S&P’s เห็นว่า โครงสร้างพื้นฐานทางกฎหมายในปัจจุบันยังไม่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาระบบของการธนาคารในประเทศให้มีความแข็งแกร่ง
สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง
โทร. 0-2265-8050
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 143/2553 9 ธันวาคม 53--